วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

มองจากปลายทางไปหาต้นทาง กับ พระสมเด็จ "กรุวัดพระแก้ว"

พระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่ผู้นิยมสะสมพระเครื่องกันอย่างขยายวงกว้างในปัจจุบันคงไม่พ้น “ พระสมเด็จพรุวัดพระแก้ว” บ้างก็เรียก “พระกรุวังหน้า”  หรือ ตามแต่จะเรียกกันไปนะครับ  ความชัดเจนในเรื่องประวัติศาสตร์ การสร้าง  บันทึก  จารึก  พงศาวดาร  หรือหลักฐานอะไรก็ตามแต่ ที่จะยืนยันแน่แท้ของพระกรุนี้ เท่าที่ เก๋าสยาม ลองสืบค้นข้อมูลดู ก็ยังไม่เจอแบบ โดนๆ ซักทีครับ 

แต่... พระพิมพ์เหล่านี้มีให้เราพบเห็นจริง ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอพักรบเรื่อง พระแท้ พระเก๊ กันก่อน  แนวทางการสืบสวนเรื่องนี้ถ้าเราหาจากต้นเหตุยังไม่เจอ เราลองมองจากปลายเหตุย้อนไปหาต้นเหตุกันดูมั๊ยครับ..ลองดูครับ 
 
พระพิมพ์ในสกุล “กรุวัดพระแก้ว” นี้  มีหลากหลายพิมพ์  พิมพ์หนึ่งที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยคือ พิมพ์พระสมเด็จทรงหลังช้างข้างฉัตร ( ชื่อพิมพ์ เก๋าสยาม ตั้งเองนะครับอย่าถือเป็นมาตรฐาน)  ตามรูปนี้เลยครับ


































ตามข้อมูลของกลุ่มผู้นิยมสะสมพระเครื่องกรุนี้เชื่อกันว่า สร้างในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ ๕ หลังจากสร้างเสร็จแล้วมีการแจกจ่ายให้ข้าราชบริพาร ขุนน้ำ ขุนนางทั้งหลาย ก่อนนำบรรจุกรุในวัดพระแก้ว ความพิเศษของพระพิมพ์ในรูปนี้เท่าที่สังเกตเห็น  การแกะพิมพ์พระทำอย่างประณีตบรรจง  มีมิติ เหลื่อมล้ำ ต่ำ สูง มีการแสดงฝีมือในเชิงช่าง ไม่ว่าจะเป็นงานแกะ งานลงรัก ปิดทอง ล่องชาด  มวลสารนอกจากเป็นผงที่เห็นแล้วยังมีส่วนผสมของผงตะไบทองคำรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

















เรื่องราวในองค์พระยิ่งน่าสนใจใหญ่ รูปช้างยืนเด่นเป็นสง่า องค์พระประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์  เคียงข้างด้วยพระมหาเศวตฉัตร (ฉัตร 9 ชั้น ) ทั้งสองฝั่ง สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น  แนวคิด หรือ คตินิยม แบบพุทธราชา และ เทวราชา มีมาตั้งแต่สมัยขอม ดูอย่างพระเจ้าชัยวรมันนั่นเทียว พระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีลักษณะงดงามส่งแจกจ่ายไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ที่เรารู้จักกันในนาม ศิลปะแบบบายน  และที่สำคัญ พระพุทธรูปเหล่านี้ทรงให้ช่างหล่อพระเศียรให้มีใบหน้าละม้ายคล้ายพระองค์มากที่สุด เป็นการใช้ศาสนานำการเมืองอย่างน่าทึ่ง คือ เจ้าเมืองไหน หรือ ชาวเมืองใด เข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปเหล่านี้ก็ต้องพบเจอ “ใบหน้า” ของพระองค์อยู่ร่ำไป  หรือ อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุดประดุจ “พระราชา” เฉกเช่นเดียวกับ องค์พระพุทธรูปที่ประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์ในพระพิมพ์นี้








































ส่วนรูปช้างนั่นเล่า ดูราวกับเป็น พญาช้างเผือก ที่มีปรากฏอยู่ในธงช้างบนพื้นแดง อันสยามประเทศ ใช้เป็นธงชาติมาแต่สมัยรัชกาลที่ 4   เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ หรือ พระราชอาณาจักรสยาม  พระมหาเศวตฉัตรทั้งสองก็เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ผู้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี 
 
พระพิมพ์นี้ ผู้สร้างเป็นผู้ใดกันหนอ

ใคร่กันเล่า..จักกล้าหาญชาญชัยทำพิมพ์พระที่มีเครื่องสูงของพระเจ้าแผ่นดิน และ พระราชอาณาจักรสยาม เป็นสัญลักษณ์

ใครกัน..ที่มีช่างฝีมือดี ทั้งช่างแกะสลัก  ช่างลงรัก ปิดทอง ล่องชาด  ช่างปูนปั้น ฯลฯ

แล้วใครกัน..ที่จะนำทองคำแท้ๆ...มาตะไบจนเป็นผงแล้วผสมลงในองค์พระได้มากมายอย่างนี้

แล้วคุณหล่ะ คิดว่า พระพิมพ์ “กรุวัดพระแก้ว” ผู้สร้างเป็นใครกัน ?
 
สวัสดีครับ



วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

พระสมเด็จในตำนาน "พระสมเด็จพิมพ์ยอดขุนพล"

เรื่องเก่าวันวาน  เล่า เป็นตำนานขานกล่าวกันต่อมา...ว่ามี “พระสมเด็จวัดระฆัง” พิมพ์พิเศษอยู่พิมพ์หนึ่งเป็นเอกอุ กว่าพิมพ์ใด บ้างก็เรียกว่า “พิมพ์มหาอำนาจอุดมยศ”  บ้างก็เรียกว่า “พิมพ์ฐานสิงห์สามชั้น”  หรือ “ พิมพ์ยอดขุนพล” ก็มี 

เรื่องเก่า..เก๋าๆ แบบนี้มาถึง เก๋าสยาม ทั้งทีมันต้องลองค้นหากันดูสักตั้ง!

ว่ากันว่า “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์พิเศษ” นี้ เป็นพระเนื้อผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  แต่มีขนาดเขื่องกว่า พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปกติทั่วไป  เส้นซุ้มมีลักษณะคล้ายกับ “พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่” แต่พอมาถึงองค์พระมีครอบแก้วรูปสามเหลี่ยมครอบองค์พระอีกที  ฐานมีสามชั้นเป็นฐานสิงห์ หรือ “ขาสิงห์” นั่นแหละครับ    ตามตำนานของนักเลงพระยังกล่าวไว้ด้วยว่า “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” นี้  จอมพลถนอม  กิตติขจร  อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเคยบูชาขึ้นคอมาแล้ว  จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระสมเด็จพิมพ์จอมพลถนอม”  

เมื่อ ลองย้อนอดีตไปในช่วงที่ “จอมพลถนอม” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่เพื่อจะดูว่ามีเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือ ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระสมเด็จพิมพ์พิเศษนี้หรือไม่ อย่างไร  ก็ปรากฏว่า ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕  ได้มีการทำปฏิทินยี่ห้อ “สามทหาร” ออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชน  รูป บนปฏิทินมีรูป “พระสมเด็จ” พิมพ์ต่าง ๆ อยู่มากมายหลายองค์ ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น “พระสมเด็จของวัดระฆัง” นั่นแหละครับเพราะเป็นที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีต   โดยรูปบนปฏิทินนี้ตรงกลางจะมีรูปพระสมเด็จขนาดใหญ่กว่ารูปอื่นๆ  เป็น “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” ที่ว่านี้นั่นเอง เรามาชมรูปกันเลยครับ


         ดูจากภาพแล้วก็สังเกตเห็นได้นะครับว่า  เป็นพระเก่า  รอยคราบสีน้ำตาลอ่อน และ เข้ม ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคราบอะไร  อาจจะเป็น “รัก” หรือ “คราบกรุ” อันนี้ไม่ขอสรุปครับ  

           ทีนี้ลองมาดูในยุคปัจจุบัน  มีข้อมูลของ “คุณระฆัง อริยทันโตศรี” ผู้แต่งหนังสือชื่อ “สมเด็จโตที่ข้าพเจ้ารู้จัก”     มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก www.somdejto.com  ซึ่งเป็นเวปไซต์ของท่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” นี้  จึงเอามารวมไว้ในที่นี้ด้วยเพื่อพิจารณา และ เป็นแนวทางในการ “ค้นหาความจริง” ของเรื่องนี้กันครับ  ข้อมูลในเวปไซต์นี้สรุปความได้ว่า  “พระสมเด็จพิมพ์พิเศษ” นี้มีอยู่จริงสร้างโดย “สมเด็จโต”  แห่งวัดระฆังโดยท่านเรียกชื่อพิมพ์ว่า “พิมพ์ยอดขุนพล”  นอกจากนี้ยังมีจารึกที่เกี่ยวกับมวลสาร และ การสร้างพระสมเด็จพิมพ์นี้ไว้ด้วย ตามรูปแล้วผมเข้าใจว่าคงคัดลอกมาจากจารึกจริงอีกที  ก็ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นที่สองมาประกอบการพิจารณาก็แล้วกันครับ เอ้า..มาดูกันเลย



จากการอ่านถ้อยคำในจารึก ก็เห็นว่ามี “คำ” บางคำที่สะกดคล้ายๆ จะเป็นภาษาไทยในยุคเก่า ท่าทางจะเข้าท่านะครับ  ถ้าเป็นไปตามนี้จริงก็หมายความว่า “พระสมเด็จพิมพ์ยอดขุนพล” นี้มีอยู่จริง และมีเพียง ๙๙ องค์อยู่ในวิหารวัดระฆัง  เป็นไปได้ไหมครับว่าอาจจะเก็บไว้บนเพดานวิหารหรือบนเพดานโบส์ถวัดระฆังก็เป็นได้ (เป็นข้อสันนิษฐานนะครับ)

เคยมี “ข่าวลือ ว่า ในปลายปี  ๒๕๑๔ มีการรื้อเพดานโบส์ถวัดระฆังเพื่อจะทำการปฏิสังขรณ์  ปราก ฎว่าพบพระสมเด็จจำนวนหนึ่ง มีลักษณะงดงาม และ ที่พิเศษคือมีพระสมเด็จที่ลงรักปิดทองล่องชาด หรือ ลงรักปิดทองอย่างเดียวก็มีรวมอยู่ด้วย  แต่เนื่องจากขณะนั้นทางวัดระฆังได้มีกำหนดการสร้าง “พระสมเด็จวัดระฆัง ปี ๒๕๑๕” ในวาระครบรอบร้อยปีของ “สมเด็จโต”  พระเก่าชุดนี้จึงไม่ได้ออกมาจำหน่ายจ่ายแจกให้กับประชาชนทั่วไป  ผมเดาเอาว่าทางวัดขอขายพระใหม่ที่กำลังจะสร้างให้หมดก่อนเพื่อจะนำเงินที่ได้ไปบูรณะวัดนั่นแหละครับ ( ทำไงได้ก้อ...ลงทุนไปแล้วอ่ะ)  ข้อมูลตรงนี้มันขาดหายไป...น่ะสิครับ!

พระสมเด็จชุดที่ค้นพบนี้เมื่อไม่ได้เอาออกมาเปิดเผยแล้วเอาไปเก็บไว้ไหน ?

อยู่ที่ “วัดระฆัง” หรือ “อยู่กับใคร”?

แล้วที่พบนั้นมีกี่พิมพ์  อะไรบ้าง ลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง?

ผมฉุกคิด! ขึ้นมาได้ว่ารูป “พระสมเด็จ” ในปฏิทินสามทหารก็ออกมาปี ๒๕๑๕  พระทุกองค์ในนั้นล้วนมีคราบสีน้ำตาลทั้งเข้ม  อ่อน มากบ้างน้อยบ้างอยู่แทบทุกองค์    คล้ายกับคราบกรุ หรือ คราบรัก เป็นไปได้มั๊ยว่ารูปดังกล่าวเป็นรูปของ “พระสมเด็จกรุเพดานโบสถ์วัดระฆัง”
ฝากท่านผู้อ่านได้แสดงความเห็น และ ช่วยคิดกันต่อเลยนะครับ


วันคืนเปลี่ยนผ่านกาลเวลาล่วงเลยมานานนับเดือน จนกระทั่ง...


วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี



          วันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน "เก๋าสยาม" มีโอกาสได้กลับบ้านไปหาแม่..ตื่นเช้าขึ้นมาแม่เลยวานให้ขับรถมาส่งที่วัด พิกุลทอง  แม่กับป้าของผมแกทำอาหารไปถวาย "พระนิสิต" ที่มาเรียนพระปริยัติธรรมน่ะครับ หลายๆท่าน คงจะคุ้นๆ กันบ้างนะครับสำหรับ "วัดพิกุลทอง"    วัดพิกุลทองมีอดีตเจ้าอาวาสผู้เป็นพระเถระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และ ขึ้นชื่อเลื่องลือเรื่องความเป็นเกจิผู้เข้มขลังอีกรูปหนึ่งในลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยา ท่านผู้นี้คือ "หลวงพ่อแพ แห่ง วัดพิกุลทอง" ครับ  แต่ตอนนี้ท่านมรณภาพไปนานแล้วล่ะครับ






หลวงพ่อแพ ท่าน เป็นที่เคารพนับถือของคนสิงห์บุรีมากเลยนะครับ  วัตถุมงคลที่ท่านทำออกมาโปรดญาติโยม ก็มีมากมายหลากหลายรุ่น เรียกได้ว่า มากพอพอกับ วัตถุมงคลของ "หลวงพ่อคูณ" ก็ว่าได้ครับ

 
       

        หลวงพ่อแพ ท่านเคารพบูชา "สมเด็จโต" แห่งวัดระฆังมากครับ ถึงขนาดได้สร้างรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของ "สมเด็จโต" มาประดิษฐานไว้ที่วิหารในวัดพิกุลทองเลยทีเดียว  เป็นการหล่อคราวเดียวกับองค์ที่อยู่ที่วัดระฆังนั่นแหละครับ  สังเกตุได้จากวัตถุมงคลของท่านก็ได้สร้างพระพิมพ์ "สมเด็จ" ไว้หลายรุ่นด้วยกัน เงินที่ได้มาหลวงพ่อแพ ท่านก็นำไปบริจาคสร้างโรงพยาบาลสิงห์บุรี ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ และ บริจาคในกิจการสาธารณกุศลอื่นๆ อีกมากมายครับ ปฏิปทาของท่านน่าเลื่อมใสศรัทธาจริง ๆ 













ในระหว่างที่แม่ กับ ป้า ของผมกำลังสาละวนกับการจัดอาหารถวายพระ และ แจกจ่ายคนที่มาวัด ผมเลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อยมาทางด้านหลังมณฑปที่ตั้ง สรีระสังขารของหลวงพ่อแพ  ไปเจอแผงพระเครื่องของนักเลงพระเมืองสิงห์เข้าให้ มีหรือที่ "เก๋าสยาม" จะไม่แวะเวียนไปดู พระที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นของหลวงพ่อแพนั่นแหละครับ เก่าบ้าง ใหม่บ้าง ปะปนกันไป แต่มาสะดุดตา สะดุดใจกับพระองค์หนึ่ง ครับ องค์ตามรูปนี้เลยครับ





โอ้!..โฮ!.. นั่นพระสมเด็จ "พิมพ์ยอดขุนพล" นี่นา ( มาได้ยังไงวะเนี่ย ) ผมนึกในใจ  พยายามเก็บอาการอยากได้ไว้แล้วรวบรวมสติถามเจ้าของพระไปว่า

"
พระอะไรครับพี่ ได้มายังไงล่ะเนี่ย"

"
พระกรุเพดานโบสถ์พระแก้วละมั้ง..มีคนเอามาถวายหลวงพ่อแพตั้งนานแล้ว ซักปี 38 ได้  เอามาหลายองค์หลายพิมพ์  ตอนนั้นหลวงพ่อก็ทำพระออกมาเพื่อหาเงินมาสร้างโรงพยาบาลสิงห์บุรี ทำบุญ 100-200 บาท หลวงพ่อแกก็แจกพระของแก แต่ถ้าใครทำบุญ 1,000 บาทขึ้นไปแกจะแจกพระชุดนี้ให้คนละ 1 องค์ นี่ก็ได้มาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ" เจ้าของพระตอบเสียยืดยาว

"
พี่ครับผมชอบ ขอแบ่งไปบูชาได้หรือเปล่าครับ" ผมถามเอาดื้อ ๆ และยังคงยืนรอลุ้นคำตอบอยู่

"
เอ้า..ชอบก็เอาไป.."  เป็นอันว่าเรียบร้อยโรงเรียน "เก๋าสยาม"


พอมาพิจารณาสภาพทางกายภาพขององค์พระ "เก๋าสยาม" เห็นว่าเป็นพระเก่าจริงเป็นแน่ ดูจากพิมพ์ทรง คม ชัด ลึก สภาพธรรมชาติของความเก่าก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น รอย ยุบ ย่น ปริแยก แตก เป็นหลุม เป็นบ่อ มวลสารนั้นเล่าก็มีให้ดู ยังปิดท้ายด้วยการลงรัก ลงชาด และปิดทองทับ ตามแบบฉบับงานช่างหลวงพระองค์นี้ "เก๋าสยาม" ว่าแท้หายห่วง  นี่ถ้าแม่..ไม่ได้ลากมาทำบุญทำกุศลคงจะมิได้พานพบเจอะเจองานนี้คงต้องพูดได้ อย่างเดียวว่า

"
ขอบคุณครับแม่...ผมรักแม่จังเลย"